ดีเซล กับ เบนซิน : เลือกซื้อรถเครื่องยนต์แบบไหนดีกว่ากัน?
ดีเซล กับ เบนซิน : เลือกซื้อรถเครื่องยนต์แบบไหนดีกว่ากัน? การตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นซื้อรถยนต์เป็นคันแรก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องยนต์แบบไหนจะเหมาะกับเรามากที่สุด วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ค่าเชื้อเพลิง: ดีเซลมีราคาถูกกว่าเบนซิน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันมีการผันผวนสูง แต่ในปัจจุบันนี้ราคาดีเซลและเบนซินค่อนข้างใกล้เคียงกันแล้ว ค่าน้ำมันเครื่อง: รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลจะต้องใช้น้ำมันเครื่องที่สังเคราะห์ขึ้นมาสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลโดยเฉพาะ ซึ่งมีราคาแพงกว่าน้ำมันเครื่องเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ค่าบำรุงรักษา: เครื่องยนต์ดีเซลมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนกว่าเครื่องยนต์เบนซิน จึงอาจมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่าเล็กน้อย สมรรถนะการใช้งาน แรงบิด: เครื่องยนต์ดีเซลมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่หนึบแน่นและมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อต้องบรรทุกของหนักหรือลากจูง อัตราเร่ง: เครื่องยนต์เบนซินมีอัตราเร่งที่สูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซล จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ต อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: เครื่องยนต์ดีเซลมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานในระยะทางไกล ความทนทานและการซ่อมบำรุง อายุการใช้งาน: โดยทั่วไปแล้ว เครื่องยนต์ดีเซลจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากโครงสร้างที่แข็งแรงทนทานกว่า ค่าซ่อมบำรุง: เมื่อเครื่องยนต์เกิดการชำรุดหรือเสียหาย เครื่องยนต์ดีเซลอาจมีค่าซ่อมบำรุงที่สูงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากชิ้นส่วนมีราคาแพงกว่า การหาช่างซ่อม: รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลอาจหาช่างซ่อมเฉพาะทางได้ยากกว่ารถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุ: เครื่องยนต์ดีเซลมีน้ำหนักมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในกรณีเกิดอุบัติเหตุ มลพิษ: เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยมลพิษมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษประเภทฝุ่นละออง PM […]
ดีเซล กับ เบนซิน : เลือกซื้อรถเครื่องยนต์แบบไหนดีกว่ากัน?
การตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นซื้อรถยนต์เป็นคันแรก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องยนต์แบบไหนจะเหมาะกับเรามากที่สุด วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ
ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
- ค่าเชื้อเพลิง: ดีเซลมีราคาถูกกว่าเบนซิน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันมีการผันผวนสูง แต่ในปัจจุบันนี้ราคาดีเซลและเบนซินค่อนข้างใกล้เคียงกันแล้ว
- ค่าน้ำมันเครื่อง: รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลจะต้องใช้น้ำมันเครื่องที่สังเคราะห์ขึ้นมาสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลโดยเฉพาะ ซึ่งมีราคาแพงกว่าน้ำมันเครื่องเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
- ค่าบำรุงรักษา: เครื่องยนต์ดีเซลมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนกว่าเครื่องยนต์เบนซิน จึงอาจมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่าเล็กน้อย
สมรรถนะการใช้งาน
- แรงบิด: เครื่องยนต์ดีเซลมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่หนึบแน่นและมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อต้องบรรทุกของหนักหรือลากจูง
- อัตราเร่ง: เครื่องยนต์เบนซินมีอัตราเร่งที่สูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซล จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ต
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: เครื่องยนต์ดีเซลมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานในระยะทางไกล
ความทนทานและการซ่อมบำรุง
- อายุการใช้งาน: โดยทั่วไปแล้ว เครื่องยนต์ดีเซลจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากโครงสร้างที่แข็งแรงทนทานกว่า
- ค่าซ่อมบำรุง: เมื่อเครื่องยนต์เกิดการชำรุดหรือเสียหาย เครื่องยนต์ดีเซลอาจมีค่าซ่อมบำรุงที่สูงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากชิ้นส่วนมีราคาแพงกว่า
- การหาช่างซ่อม: รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลอาจหาช่างซ่อมเฉพาะทางได้ยากกว่ารถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
- อุบัติเหตุ: เครื่องยนต์ดีเซลมีน้ำหนักมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
- มลพิษ: เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยมลพิษมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษประเภทฝุ่นละออง PM 2.5
- การประหยัดพลังงาน: เครื่องยนต์ดีเซลมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า จึงช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน
ไลฟ์สไตล์การใช้งาน
- การใช้งานประจำวัน: หากใช้รถเป็นประจำสำหรับการเดินทางไปทำงานหรือทำธุระทั่วไป รถยนต์เครื่องยนต์เบนซินจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีอัตราเร่งและความคล่องตัวที่ดี
- การเดินทางระยะไกล: หากใช้รถเป็นประจำสำหรับการเดินทางระยะไกลหรือบรรทุกของหนัก รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีและแรงบิดที่สูง
- งบประมาณ: หากมีงบประมาณจำกัด รถยนต์เครื่องยนต์เบนซินจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า เนื่องจากราคาขายและค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างต่ำกว่า
ตารางผ่อนชำระและราคาขาย
รุ่นรถ | เครื่องยนต์ | ราคาขาย | เงินดาวน์ | ผ่อนต่อเดือน (60 งวด) |
---|---|---|---|---|
Toyota Yaris Ativ | เบนซิน 1.2 ลิตร | 599,000 บาท | 10% | 9,900 บาท |
Toyota Yaris Ativ | ดีเซล 1.4 ลิตร | 649,000 บาท | 10% | 10,900 บาท |
Honda City | เบนซิน 1.0 ลิตร | 599,000 บาท | 10% | 9,900 บาท |
Honda City | ดีเซล 1.5 ลิตร | 699,000 บาท | 10% | 11,900 บาท |
สรุป
การเลือกซื้อรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซินขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่าย สมรรถนะการใช้งาน ความทนทาน ความปลอดภัย ไลฟ์สไตล์การใช้งาน และงบประมาณ หากพิจารณาจากค่าใช้จ่าย เครื่องยนต์เบนซินมีราคาขายและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า แต่เครื่องยนต์ดีเซลมีค่าเชื้อเพลิงที่ถูกลง หากเน้นสมรรถนะการใช้งาน เครื่องยนต์ดีเซลมีแรงบิดสูงเหมาะสำหรับการบรรทุกหรือลากจูง แต่เครื่องยนต์เบนซินมีอัตราเร่งดีกว่าเหมาะสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต ส่วนความทนทานและความปลอดภัยนั้น เครื่องยนต์ดีเซลมีอายุการใช้งานยาวนานแต่ชิ้นส่วนมีราคาแพง และเครื่องยนต์เบนซินมีน้ำหนักเบากว่าจึงปลอดภัยกว่าในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ ผู้ซื้อควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันเพื่อให้ได้รถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด
คำหลัก
- รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล
- รถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน
- ค่าเชื้อเพลิง
- สมรรถนะการใช้งาน
- ความทนทานและการซ่อมบำรุง